สุขภาพ : “ฆาตกรรสหวาน” ชานม-น้ำอัดลม ช็อกคนไม่ถึง 30 ก็ตายได้!
การกินไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ชอบกินชานมไข่มุก-น้ำอัดลม เสี่ยงเบาหวานถามหา อุทาหรณ์สาววัย 29 ถึงอายุน้อยก็ตายได้ เพราะพฤติกรรมการกินของตัวเอง ตายภายใน 1 ปี หลังจากตรวจเจอ แบบนี้ยิ่งกว่ามะเร็งเสียอีก!! สังคมตั้งคำถาม หรือเพราะว่าชานม และน้ำอัดลม เป็นฆาตกร!? นักโภชนาการชี้กินอย่างไรไม่ให้โรคถามหา ซัดไม่ว่าจะผอม หรืออ้วนก็เสี่ยงต่อโรคได้ทั้งนั้นหากยังกินแบบนี้!
ตายเพราะชานมไข่มุก?
“แม่ชวนไปงานศพลูกสาวของเพื่อนแม่ อายุแค่ 29 เสียชีวิตเพราะโรคเบาหวาน เพิ่งตรวจเจอเมื่อปีที่แล้ว คือกินแต่ชานม โค้ก และเครื่องดื่มหวานๆ กินยังไงก็ไม่อ้วน พอตรวจเจอก็เข้าขั้นหนักแล้ว แต่ก็ยังไม่เคร่งครัด ยังอดไม่ได้ เลยทรุดเร็ว ใครที่คิดว่าอายุน้อยๆ แล้วจะไม่เป็นไร ต้องคิดใหม่นะ”
ใครจะไปคิดว่าเรื่องใกล้ตัวที่มีมานานอย่าง “โรคเบาหวาน” จะเกิดขึ้นกับคนที่อายุน้อยและทำให้เสียชีวิตในเวลาอันสั้น ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นอันตรายใกล้ตัวที่หลายคนประมาท และไม่ระมัดระวัง หลังจากที่ทวิตเตอร์ “Lix_Shuiling” โพสต์เล่าอุทาหรณ์ของคนใกล้ตัวที่ชอบกินชานมไข่มุก และเครื่องดื่มรสหวานๆ จนเป็นโรคเบาหวาน และสุดท้ายได้เสียชีวิตลงในวัย 29 ปี
หลังจากที่โพสต์ดังกล่าว ถูกส่งต่อกันไปบนโลกโซเชียลฯ แล้วก็นำมาซึ่งความคิดเห็นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันคือ รู้สึกหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นไม่น้อยที่โพสต์เล่าประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง จนถึงเหตุการณ์ของบุคคลใกล้ตัวที่เสียชีวิตจากโรคเบาหวานทั้งๆ ที่อายุยังน้อยเช่นกัน
“เคยติดน้ำหวานน้ำอัดลม ชา โกโก้ แต่ตอนนี้เลิกได้แล้ว รู้สึกดีขึ้นมากเลยน้ำหนักก็ไม่ขึ้นง่าย แต่ยังติดขนมขบเคี้ยวอยู่ แก้ไม่ได้สักที”
“พี่สาวเราอายุ 27 ก็เสียด้วยโรคเบาหวาน และโรคแทรกซ้อนมาคือไต ด้วยความคิดที่ว่าตัวเองยังอายุน้อยเลยกินแต่ของหวานๆ ไม่ดูแลตัวเองไม่ฉีดยาไม่คุมอาหาร พอทรุดที โรคแทรกซ้อนเยอะมาก สุดท้ายก็รั้งไว้ไม่ได้ เสียไปเมื่อต้นปีเองค่ะ”
ขณะทางเพจ “Drama-addict” เพจที่มีอิทธิพลในโซเชียลฯ ก็ออกมาโพสต์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเช่นกัน โดยให้ความคิดเห็นว่า คนเป็นโรคเบาหวานไม่จำเป็นต้องอ้วนเสมอไป คนที่อ้วนแล้วน้ำหนักลดลงผิดปกติอย่าประมาท เพราะอาจเป็นอาการของโรคเบาหวานได้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนที่เป็นโรคนี้นั้นอายุน้อยลงไปเรื่อยๆ ควรมีการตรวจสุขภาพทุกๆ ปี และหมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ
“เรื่องนี้มีประเด็นน่าสนใจ งานวิจัยหลังๆ เราพบว่า คนเป็นเบาหวานชนิด2 อายุน้อยลงเรื่อยๆ สมัยก่อนต้องสามสิบกว่านุ่น สมัยนี้ยี่สิบปลายๆ ก็เป็นได้ละ เพราะโภชนาการ และการใช้ชีวิตคนเปลี่ยนแปลงไป
การกินน้ำตาล คาร์โบไฮเดรต ยังไม่มีงานวิจัยยืนยันว่ามีความสัมพันธ์กับการเป็นเบาหวานชัดเจน แต่ไอ้น้ำหวานๆ ชาหวานๆ น้ำอัดลมหวานๆ พวกนี้มีหลักฐานยืนยันว่าทำให้เสี่ยงเป็นเบาหวานมากขึ้นเยอะเลยถ้าแดกพวกนี้เยอะๆ ดังนั้นกินหวานได้ แต่เลี่ยงน้ำหวานๆ หรืออย่าแดกเยอะ พวกนี้อันตราย
คนเป็นเบาหวานไม่จำเป็นต้องอ้วนเสมอไป ผอมๆ ก็เป็นได้ หรือคนที่อ้วน แล้วจู่ๆ น้ำหนักลงผิดปกติ อย่าประมาท นั่นอาจเป็นอาการของเบาหวานได้
ออกกำลังกายแล้วยังเป็นเบาหวานได้ไหมได้ ถ้าออกไม่ถูกวิธี ออกไม่พอ ปริมาณกล้ามเนื้อน้อยไป ก็เสี่ยงเป็นได้ หรือเป็นแล้วออกไม่ถูกวิธีก็เอาน้ำตาลไม่ลงได้ การออกกำลังกาย จะลดความเสี่ยงเบาหวานได้ ต้องฝึกกล้ามเนื้อ ยกเวต เล่นพวกสายยางยืด หรือเล่นบอดี้เวตให้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ๆ พัฒนา แบบนั้นถึงจะรักษาหรือลดความเสี่ยงเบาหวานได้ แนะนำให้เล่นเวตอย่างน้อยสัปดาห์ละสองวัน ถ้าไม่มีเครื่องมือ ทำ lunge squat plank อยู่บ้านก็ได้ชิลชิล
เบาหวาน ถ้าเป็นแล้ว อย่ารอให้เป็นหนักจนเส้นเลือดแม่_เสื่อมสภาพ ซัดกันตั้งแต่เนิ่นๆ เอาตั้งแต่ตอนยังกินยาน้อยๆ หรือยังไม่กินยาเลย รักษาตอนนี้เท่านั้นที่จะทำให้สุขภาพยืนยาวอยู่ถึงแก่ได้ ถ้าไม่ออกกำลังกาย แล้วหวังพึ่งยาอย่างเดียว ไม่มีทางอยู่ยืด เพราะมันทำได้แค่ประคองอาการ ประคองความเสื่อมสภาพของร่างกายไว้เท่านั้น”
ไม่อ้วนไม่ใช่ว่าไม่เป็นเบาหวาน!!
ไม่เพียงแต่เพจชื่อดังที่ออกมาเตือนใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ทางเพจ “ผู้หญิงบ้าพลัง : Girl on bike” ก็ออกมาแชร์เตือนใจ ผู้หญิงหุ่นดี ออกกำลังกายมีซิกแพก แต่อาจจะตายเนื่องจากเป็นโรคเบาหวาน เพราะชอบกินขนมหวาน กินชานมไข่มุก เช่นกัน
“#จริงหรือไม่? #ชานมไข่มุก ออกกำลังกายเยอะแล้วกินได้ ไม่เป็นเบาหวาน? เป็นคนหนึ่งที่ติดชาไทย ชานมมากๆ ขนม ของหวานคือกินได้แทนข้าว (ทุกวัน)เคยตรวจน้ำตาลขึ้นไป 121 (ซึ่งตอนไปตรวจงดของหวานมาได้อาทิตย์นึง)
ขนาดลดแล้วยังสูงเกินกว่ามาตรฐาน ปกติห้ามเกิน 120 ถ้าเกินคือมีโอกาสเป็นเบาหวาน แล้วก็เป็นคนที่ทุกคนมองยังไงก็ดูไม่อ้วน… ดูมีกล้ามเนื้อ ใช่… มีกล้ามเนื้อ พร้อมไขมัน และคงมีน้ำตาลในเลือดเยอะน่าดู แบบที่มันยังไม่โชว์ออกมาให้เห็น”
อย่างไรก็ดีโรคเบาหวานสาเหตุหลักๆ เกิดจากการรับประทานอาหารเข้าไป การเลือกอาหารจึงสำคัญต่อผู้บริโภคเป็นอย่างมาก
ทั้งนี้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องทาง ทีมข่าว MGR Live จึงติดต่อสัมภาษณ์ไปยัง แววตา เอกชาวนา นักโภชนาการบำบัดและผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาหารเพื่อสุขภาพ ให้มาไข้ข้อสงสัยเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่ถูกต้องตามหลักโภชนาการต้องเป็นอย่างไร และปัจจุบันทำไมคนที่เป็นโรคนี้ถึงมีอัตราอายุที่น้อยลง รวมถึงต้องรับประทานอาหารอย่างไรให้ไกลโรคเบาหวาน
โดยนักโภชนาการรายนี้ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า ปัจจุบันคนไทยได้รับน้ำตาลจากการปรุงอาหารมากเกินกว่าที่ร่างกายควรจะได้รับ ควรกินน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งเครื่องดื่ม 1 แก้ว มีน้ำตาลปริมาณ 9 ช้อนชา ถ้าเราได้รับประทานไปเรื่อยๆ ก็จะสะสมปริมาณน้ำตาลในร่างกายของเรา
“แบ่งเป็นกลุ่มอย่างชัดเจน คือกลุ่มรักสุขภาพก็มีเพิ่มขึ้น แต่อาหารสุขภาพจะร่วมกับอาหารของกินทั่วไปไม่ได้ โดยทั่วไปคนที่กินอาหารทั่วไปก็คือ ยังกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ในแต่ละมื้อ และส่วนใหญ่จะมีเครื่องดื่มที่มีรสหวาน เพราะจากการสำรวจ และการวิจัยก็พบว่า ส่วนใหญ่จะชอบดื่มเครื่องดื่มที่ติดหวาน เครื่องดื่มอย่างน้อย1แก้วมีประมาณน้ำตาล 9 ช้อนชา
ในมุมมองนักโภชนาการ คืออาหาร และสินค้า ไม่ว่าจะเป็นไทย หรือต่างประเทศ จะมีสินค้าที่มีความหลากหลาย และการที่ขายอาหาร ขายขนม หรืออะไรก็แล้วแต่ จุดที่อาหารขายได้ก็คือรสชาติ เลยทำให้ขนมหรืออาหารต้องมีรสชาติที่จะต้องอร่อย แล้วมันจะต้องมาจากการปรุงที่มีความเข้มข้น ทั้งไขมัน และน้ำตาล ซึ่งผู้บริโภคเองจะสามารถกินได้ เพียงแต่จะต้องจำกัดปริมาณของกิน และผู้บริโภคเองจะต้องใช้ความรู้เกี่ยวกับโภชนาการด้วย อย่างเช่น อ่านฉลากโภชนาการให้เป็น หรืออาหารบางอย่างที่ไปซื้อที่ตลาดสด ไม่มีฉลากโภชนาการก็ต้องกลับมาที่แบบเดิมคือ กินอาหารหลักให้ครบ 5 หมู่ กินพวกขนม ข้าว แป้ง อยู่ในปริมาณจำกัดปานกลาง”
การกินอาหารไม่ครบ 5 หมู่ ปริมาณสัดส่วนคาร์โบไฮเดรต ไขมัน ไม่สอดคล้องกัน ก็อาจจะได้รับพลังงานเกิน จากทั้งไขมัน จากแป้ง และน้ำตาล ซึ่งทำให้คนที่ผอม หรืออ้วนเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานได้
“ถ้าเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน จริงๆ เบาหวาน ถือว่าเป็นโรคที่ไม่ติดต่อเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการกินของตัวเอง อาจจะกินข้าว แป้ง น้ำตาลมากเกินไป แล้วก็ขาดการออกกำลังกาย หรือเกิดจากกรรมพันธุ์ คือพ่อแม่ หรือญาติพี่น้องเป็นเบาหวาน ดังนั้นตัวเองก็สามารถเป็นเบาหวานได้
1. เกิดจากกรรมพันธุ์
2. จากตัวเราเอง พฤติกรรมของเราเอง คือพันธุกรรมกับพฤติกรรมก็สามารถเกิดขึ้นได้
คนที่อ้วนอาจมีภาวะเสี่ยงเพิ่มขึ้นกว่าคนผอม แต่ไม่ได้หมายความว่าผอมแล้วไม่ได้เป็นเบาหวาน หมายความว่า คนอ้วนก็สามารถก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้หลายอย่าง การย่อยและการดูดซึมน้ำตาล การเผาผลาญอาหาร เมตาบอลิซึมอาจจะน้อยกว่าคนผอม ดังนั้นจึงไม่สามารถระบุได้ว่าผอมจะเป็นเบาหวาน หรืออ้วนจะเป็นเบาหวาน แต่คนอ้วนมีเปอร์เซ็นต์ที่จะเกิดหลายโรคมากกว่าคนผอม แต่คนผอมก็สามารถเป็นเบาหวานได้
ทั้งนี้เราก็ต้องสังเกตตัวเองว่า ถ้าหากคนที่มีน้ำหนักผิดปกติ ไม่ว่าอ้วน หรือผอม เราก็ดูก่อนเลยว่าเรามีน้ำหนักตัวที่เล็กลง อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่เดือน ทั้งๆ ที่ตั้งใจลดน้ำหนัก หรือไม่ได้ตั้งใจลดหรือเปล่า ซึ่งเราอาจจะเป็นเบาหวานได้
คนผอมที่ไม่ออกกำลังกาย ผู้ที่มีกรรมพันธ์เป็นเบาหวาน คนผอมที่กินข้าว แป้ง อาหารไม่ครบ 5 หมู่ ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานเช่นเดียวกับคนอ้วนค่ะ”
นอกจากนั้น ควรรู้กรรมพันธุ์ของตัวเองด้วยว่า มีใครเป็นเบาหวานที่บ้านหรือไม่ เพราะปัจจุบันวัยรุ่น-วันกลางคนหันมารับประทานพวก ชา , ชานมไข่มุกมากขึ้น ซึ่งปริมาณชานมไข่มุก 1 แก้ว มีปริมาณน้ำตาลมากเกินไป
“ชา หรือชานมไข่มุกโดยเฉลี่ยแล้ว มีปริมาณน้ำตาลปริมาณ 12 ช้อนชาต่อแก้ว ร่างกายเราต้องการประมาณเต็มที่ไม่เกิน 6 ช้อนชาต่อวัน นั่นหมายความว่าถ้าหากกินชานมไข่มุกวันละ 1 แก้ว น้ำตาลที่ได้รับนั้นมากกว่าความต้องการของร่างกาย 1 เท่าแล้วเวลาที่ได้รับปริมาณน้ำตาลที่มากเข้าไป จะทำให้ร่างกายของเราทำงานหนัก
และถ้าหากร่างกายไม่ได้ออกกำลังกายเลย ส่วนนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นไขมันที่สะสมในร่างกาย ถ้าหากอยู่ในเซลล์ของเราก็จะทำให้อ้วนขึ้น พออ้วนขึ้นก็จะกลับมาที่เดิมคนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ พออ้วนขึ้นก็มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรค ถ้าอยากกินจริงๆ ควรกินวันละแก้ว แต่ว่าขนมอื่นๆ ก็ไม่ควรกิน ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการกินชานมไข่มุกควรกินหลังจากเรากินข้าว และนั่นหมายความว่าเราก็ไม่ควรกินขนมอื่นๆ อีกแล้ว
ดังนั้น การกินน้ำตาลมีความสำคัญต่อคนที่ไม่ได้เป็นเบาหวาน คือ ควรกินน้ำตาลไม่เกิน 24 กรัม หรือ 6 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งเครื่องดื่ม 1 แก้ว มีน้ำตาลปริมาณ 9 ช้อนชา ถ้าเรากินไปเรื่อยๆ ก็จะสะสมปริมาณน้ำตาลในร่างกายของเรา ห่างไกลจากโรคเบาหวาน ก็ควรกินน้ำตาลให้น้อยลง ไม่เกิน 4-6 ช้อนชาต่อวัน”
ขอขอบคุณข้อมูล จาก MGR Online