ข่าวแม่สอด : เสียงกระซิบจากหมอที่แม่สอด จะดังให้ทุกคนได้ยินได้อย่างไร

        วันนี้ออก OPD NAPHA นั่นคือห้องตรวจผู้ป่วยโรคติดเชื้อเอชไอวี เป็นคิวของผู้ป่วย NAPHA extension คือกลุ่มผู้ป่วย migrant ชาวกะเหรี่ยง พม่า ที่ไม่ใช่คนไทยที่มาขอใช้สิทธิ์รับยาที่ รพ แม่สอด

        ภารกิจประจำวันของฉันค่อนข้างยุ่งเหยิง ตอนเช้าต้องไปราวน์ICU ราวน์วอร์ดเกือบ 30 เตียงสอนนักศึกษาแพทย์ ราวน์วอร์ดพิเศษ สะสางงานที่รับผิดชอบที่ต้องจัดการในเช้าวันนั้น ทำให้วันนี้ลง OPDเกือบ 10.30 น คนไข้งดน้ำงดอาหารมารอตั้งแต่ 6 โมงใครมาก่อนได้ตรวจก่อนตามคิว

       ฉันมาถึง..คนไข้นั่งรอเป็นระเบียบ ไม่มีใครพูดเลยสักคนเงียบกริบ

       คนไข้เข้ามาตรวจทีละคน ส่วนใหญ่ต้องใช้ล่าม แทบไม่มีการปรับยาสำหรับ OPD นี้ ไขมันในเลือดเป๊ะ เบาหวานคุมได้เป๊ะ ไวรัสกดได้ตลอด คนไข้เกือบ 60 คนใช้เวลาตรวจไม่ถึงสองชั่วโมง

       ตอนฉันยื่นใบสั่งยาให้คนไข้ไปรับยา คนไข้ทุกคนยกมือไหว้ เอามือข้างหนึ่งแตะที่ศอกอีกข้างราวกับรับของจากพระผู้ใหญ่ บางคนมีย่อถอนสายบัวด้วย ถ้าไม่มาเห็นด้วยตาตัวเองจะหาว่าโอ้อวดเกินจริง….

       คนไข้ส่วนใหญ่ห่อข้าวมากิน ไม่รีบไม่ร้อน หมอมาเมื่อไหร่ก็ได้ ได้ยาเมื่อไหร่ก็ได้แม้ว่าค่ำนี้ยังไม่รู้จะนอนที่ไหนเพราะบ้านอยู่ฝั่งพม่าไกลโพ้น ..เขาก็เตรียมตัวมาอย่างดี

       นึกแล้วมันช่างแตกต่างจากสังคมไทยปัจจุบันที่มีคนจำนวนมากลุกขึ้นมาด่าหมอ ด่าพยาบาลกันปาวๆ ยังกับเป็นบุคคลน่ารังเกียจ

       ยอมรับว่าไม่ได้อ่านทั้งหมด อ่านเพียงเล็กน้อยก็ยังรู้สึกได้ถึงความเสื่อมศรัทธาต่อวงการแพทย์..ไม่รู้ว่าอะไรคือต้นเหตุ เพราะส่วนตัวเอง และเพื่อนแพทย์ใกล้ชิดก็ไม่มีใครทำอะไรผิดจากจรรยาบรรณที่พึงมี แพทย์พยาบาลไทยยังทำหน้าที่อย่างเต็มความสามารถเหมือนเดิมซ้ำยังพยายามพัฒนาศักยภาพให้มากขึ้นตามโลกยุคใหม่

แพทย์ไทยไม่ได้เปลี่ยนไป…แต่สายตาที่มองมาคู่นั้นต่างหากที่เปลี่ยนแปลง

       รพ แม่สอดได้เงินจากคนต่างชาติโดยเฉพาะชาวพม่ารวม 110,000,000 บาทต่อปีพอๆกับที่ได้เงินจากคนไทยจากกองทุนบัตรทอง ดังนั้นคนพม่าเขามาซื้อบริการเราทั้งนั้นแต่การปฏิบัติต่อหมอไทยประดุจเราเป็นเทพเจ้า

       มีคนไข้หนุ่มน้อยอายุ 16 ปีมาด้วย Encephalitis สงสัยวัณโรคขึ้นสมอง โคม่ามาตั้งแต่แรกรับไปโรงพยาบาลที่เมาะละแหม่งหนึ่งสัปดาห์ไม่ดีขึ้นจึงพากันมาที่ รพ แม่สอดอย่างทุลักทุเล หายใจพะงาบๆ ใส่ท่อช่วยหายใจอยู่วอร์ดสามัญ ตอนนี้ตื่นดีเตรียม off ท่อช่วยหายใจ แพทย์ณัฐกานต์เดินไปราวน์ทีไรทุกคนในครอบครัวยกมือไหว้ท่วมหัวถ้ากราบได้คงทำไปแล้ว แววตาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ไม่เคยเรียกร้องอะไรยืนฟังแพทย์อธิบายอย่างเงียบๆ ไม่เคยร้องขอไป ICU มาถึงวันนี้ค่ารักษาแสนกว่าบาท เขาจ่ายทุกบาททุกสตางค์เพราะกลัวหมอจะทิ้งเขา…เราพูดกันคนละภาษา แต่เรื่องของศรัทธาเป็นเรื่องสากลที่เข้าใจกันได้ระหว่างมนุษยชาติ  เขาวางชีวิตไว้ในมือหมอไทยที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกด้วยซ้ำ…

       ในความเห็นของฉัน..วิกฤตศรัทธาในครั้งนี้ไม่ได้เกิดจากจรรยาบรรณแพทย์ที่เปลี่ยนไป  แต่เกิดจากความไม่รู้ที่มากจนสะสมกัดกินลักษณะที่ดีของคนไทย ที่เคยคิดดีทำดีต่อกัน ที่เคยอ่อนน้อมพูดจากันด้วยภาษาไพเราะ มีเหตุมีผล เห็นอกเห็นใจกัน

สังคมชื่นชมคนดีหายไปไหน…

โชคดีที่ฉันยืนอยู่ตรงนี้ ที่ตรงชายขอบ..ฉันจึงเห็นความแตกต่าง

        ตอนเช้ามีคนรอใส่บาตรพระรายเรียงเป็นแถวรับหมอกอ่อนๆ กลางวันถีบรถจักรยานไปทำงานมีปิ่นโตคนละเถา ในวันฝนตกหนักที่อาจจะมีคนแอบแช่งฝนแต่เด็กๆอาบน้ำฝนกันอย่างสนุกสนาน มือพ่อแม่จูงลูกๆพะรุงพะรังไปดูหนังกลางแปลงทั้งครอบครัว …

       ฉันได้รู้ว่าถ้าความสุขในสังคมและครอบครัวได้มาง่ายๆ กลับไปเป็นสังคมห่อใบตองและถีบรถถีบแต่ประเทศเราอาจไม่เจริญขึ้น…ฉันจะยอมแลก

มาช่วยกันปรับปรุงสังคมไทยไหมคะ ..ไม่รู้ว่ามันจะสายเกินไปหรือยัง