“ทนายโบ้” นรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ประธานฝ่ายกฎหมายสมาคมลูกหนัง นำตัวแทนจากทีม สุราษฎร์ธานี เอฟซี และ มุกดาหารลำโขง แถลงฟ้องกรณี 2 สโมสรถูกตัดสิทธิ์เลือกลีกภูมิภาค 30 เสียง เป็นเงิน 100 ล้านบาท แถมฝาก “เสธ.โต” พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ประธานคณะกรรมกากลาง อย่าข่มขู่ว่า “ฟีฟา” จะแบนไทย
ความเคลื่อนไหวการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ หลังจากที่คณะกรรมการกลาง สมาคมฟุตบอลฯ นำโดย “เสธ.โต” พล.ร.อ.สุรวุฒิ มหารมณ์ ประธานคณะกรรมการกลาง ได้จัดการเลือกตั้ง 30 เสียงลีกภูมิภาค เมื่อวันที่ 22 มกราคมที่ผ่านมา และได้ตัวแทน 30 เสียง ที่จะเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯ ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มกราคม 2559 ที่โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอริน นายนรินท์พงศ์ จินาภักดิ์ ประธานฝ่ายกฎหมายสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พร้อมด้วยนายวิมล กาญจนะ ประธานลีกภูมิภาค, นางอนงค์ ล่อใจ ประธานสโมสรสุราษฎร์ธานี เอฟซี และพล.อ.จิรศักดิ์ บุตรเนียร ประธานสโมสรมุกดาหารลำโขง ร่วมกันแถลงเรื่องการฟ้องเพื่อเรียกร้องสิทธิ หลังจากถูกสวมสิทธิ์ในการเลือกตั้ง 30 เสียงภูมิภาค ที่ผ่านมา
โดยนายนรินท์พงศ์ กล่าวว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มกราคม เป็นการทำผิดข้อบังคับของลีกภูมิภาคหลายข้อ และเสียงที่ได้มานั้นก็เห็นได้ชัดว่าเสียงมาจากข้างเดียว ดังนั้นตนจะชี้แจงและนำหลักฐานไปให้สหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า)พิจารณา ซึ่งการเลือกตั้งในวันดังกล่าว สุราษฯ เอฟซี ถูกสวมสิทธิ ขณะที่มุกดาหารลำโขง ถูกคณะกรรมการกลางฯ ตัดสิทธิ เนื่องจากมีผู้แทนสโมสรมา 2 คนด้วยกัน ดังนั้นเมื่อทั้ง 2 สโมสรเสียสิทธิ จึงต้องมีการฟ้องร้องแน่นอน โดยทั้งสอง 2 สโมสร ได้มีการฟ้องร้องเรื่องของ 30 เสียงเดิมไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยสุราษฯ เอฟซี ฟ้องศาลปกครอง จ.นครศรีธรรมราช และมุกดาหารลำโขง ไปฟ้องที่ศาลปกครอง จ.ขอนแก่น และทั้ง 2 สโมสรจะฟ้องเพิ่มเติมในเรื่องที่ถูกตัดสิทธิด้วยเหตุผลไม่สมควร นอกจากนี้อีก 28 สโมสรที่เหลือ ก็จะฟ้องร้องเพื่อเรียกค่าเสียหายทีมละ 100 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน “ทนายโบ้” กล่าวต่อไปด้วยว่า “การกำหนดระเบียบการเลือกตั้งของคณะกรรมการกลางฯ มีทั้งการเพิ่มเติมข้อบังคับ กำหนดห้ามถูกฟ้อง และยังอ้างว่าระเบียบนี้ผ่านการตรวจจาก ฟีฟา แล้ว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะ ฟีฟา จะไม่เข้ามายุ่งเรื่องภายในของสมาคม นอกจากนี้การออกระเบียบต่างๆ จำเป็นต้องผ่านการรับรอง ก่อนประกาศใช้ แต่นี่จะให้รับรองในวันเลือกตั้ง ซึ่งการรับรองนี้ต้องใช้ 3 ใน 4 ของ 72 เสียงที่มีสิทธิเลือกตั้ง คือ 52 เสียงอย่างน้อยรับรอง ถ้าหากไม่รับรองจะเกิดอะไรขึ้นคือสิ่งที่อยากจะฝากถามถึงคณะกรรมการกลางฯ และผมอยากจะเตือน พล.ร.อ.สุรวุฒิ ว่าอย่านำเอา ฟีฟา มาอ้างเพื่อข่มขู่ และกดดัน ผู้ที่มีสิทธิ เพราะพวกเขาทำเพื่อทวงสิทธิของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องการแบนที่โยนภาระให้คนที่เรียกร้องสิทธิ หาก ฟีฟา จะแบนฟุตบอลไทย ก็เป็นเพราะคณะกรรมการกลางปฏิบัติผิดกฎหมายและฝ่าฝืนมติของ ฟีฟา มากกว่า”
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : Manager.co.th