สุขภาพ : เพชรสังฆาตสมุนไพรแก้ริดสีดวง บำรุงกระดูก แก้ท้องผูก-ลดน้ำหนัก
เพชรสังฆาต ชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cissus quadrangularis L.
ชื่อเรียกตามท้องถิ่นอื่น ๆ สันชะควด (กรุงเทพฯ) ขั่นข้อ (ราชบุรี) สามร้อยต่อ (ประจวบคีรีขันธ์)
เพชรสังฆาต เป็นพื้นประเภทไม้เถาเลื้อย ซึ่งโดยปกติแล้วมักนิยมปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับ เนื่องจากเป็นพืชที่มีรูปร่างแปลกตา และมีดอกและช่อสีแดงสวยงาม
เพชรสังฆาตเป็นไม้เถาทรงสี่เหลี่ยมเป็นข้อปล้องต่อกัน เปลือกเถาเรียบสีเขียวอ่อน ขนาดของปล้องแต่ละปล้องยาวประมาณ 3-15 เซนติเมตร มีมือสำหรับเกาะยึด ยื่นออกมาจากตรงข้อระหว่างใบ ลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว มีลักษณะปลายใบมน โคนใบเว้า ขอบใบหยักมนห่าง ๆ แผ่นใบเรียบมัน สีเขียวสด ดอกมีสีแดง กลีบดอกมี 4 กลีบ มักออกเป็นช่อเล็ก ๆ ขนาด 2-4 เซนติเมตร ผลสดมีรูปกลม ผลเรียบเป็นมัน ขนาด 4-7 มิลลิเมตร ผลอ่อนมีสีเขียวอ่อน เมื่อแก่จัดจะมีสีดำหรือแดง เมล็ดมีทรงกลมสีน้ำตาล อยู่ในผล ผลละ 1 เมล็ด
สรรพคุณ
ขับลม แก้จุกเสียดแน่นท้อง รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ รักษาโรคริดสีดวงทวาร
ราก – ช่วยในการสมานตัวของกระดูกที่แตกหักทำให้กระดูกกลับมาเชื่อมต่อกันได้เร็วขึ้น
ต้น – แก้อาการหูน้ำหนวก แก้อาการเลือดกำเดา รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติในสตรี ช่วยให้เจริญอาหาร และช่วยขับน้ำเหลืองเสีย
ใบ – ช่วยในการสมานตัวของกระดูกเช่นเดียวกับราก รักษาอาการอาหารไม่ย่อย ช่วยขับน้ำเหลืองที่เสีย
เถา – แก้กระดูกหักซ้น ขับลม แก้จุดเสียดแน่นท้อง แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ รักษาโรคลักปิดลักเปิด
เพชรสังฆาตรักษาโรคริดสีดวง
เพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี ตัวช่วยส่งเสริมกระบวนการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยลดอาการอักเสบ รวมทั้งช่วยให้หลอดเลือดดำหดตัวลงได้ ซึ่งสำหรับคนที่เป็นโรคริดสีดวงทวาร จะเกิดภาวะเลือดดำคั่งจนทำให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก การรับประทานเพชรสังฆาตจึงช่วยบรรเทาอาการได้ รวมทั้งรักษาอาการอักเสบและทำให้หลอดเลือดดำที่บวมเป่งอยู่บริเวณทวารหนักหดตัวลงได้นั่นเอง
เพชรสังฆาต ช่วยบำรุงกระดูก
ในตำรายาของหมอพื้นบ้านและหมออายุรเวทได้ใช้เพชรสังฆาตช่วยบำรุงกระดูกกันอย่างแพร่หลาย โดยระบุว่า สรรพคุณของเพชรสังฆาตช่วยบำรุงกระดูก เพิ่มมวลกระดูก สมานกระดูกที่หัก โดยสารในเพชรสังฆาตจะช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูก และบรรเทาอาการบวมและอาการอักเสบได้ ที่สำคัญเพชรสังฆาตยังมีฤทธิ์ลดอาการปวดได้อีกด้วย
แก้ท้องผูก
เพชรสังฆาตมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยแก้ปัญหาท้องผูก ถ่ายยาก และช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรครืดสีดวงทวารได้ แต่ทั้งนี้ผลของการช่วยระบายก็ต้องขึ้นอยู่กับธาตุของแต่ละบุคคลด้วย ฉะนั้นหากรับประทานเพชรสังฆาตแล้วรู้สึกระบายมากเกินไป มีอาการถ่ายบ่อย ก็ควรลดขนาดรับประทานลงสักครึ่งหนึ่งของปริมาณเดิมที่กินเพชรสังฆาตอยู่
ช่วยลดน้ำหนัก
เพชรสังฆาตเป็นสมุนไพรที่มีไฟเบอร์สูง ช่วยให้กินอาหารได้น้อยลง โดยไฟเบอร์ในเพชรสังฆาตจะเข้าไปลดเนื้อที่ของกระเพาะอาหาร ทำให้อิ่มเร็วขึ้น และมีผลยับยั้งเอนไซม์ที่ย่อยแป้ง น้ำตาล และไขมัน จึงช่วยลดการดูดซึมสารอาหารดังกล่าวเช้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น ซึ่งสรรพคุณช่วยลดน้ำหนักของเพชรสังฆาตก็ผ่านการศึกษาทดลองในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน โดยการทดลองได้คัดคนที่มีดัชนีมวลกาย หรือ BMI มากกว่า 26 kg/m2 ให้กินเพชรสังฆาตมื้อละ 150 มิลลิกรัม ก่อนอาหาร วันละ 2 มื้อ เป็นเวลา 10 สัปดาห์ โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนการกินและการออกกำลังกาย
โดยผลการทดลองพบว่า อาสาสมัครกลุ่มนี้มีน้ำหนักลดลง 8.8% (จากเดิมน้ำหนักเฉลี่ยของผู้ทดลองก่อนทานเพชรสังฆาต 98.92 กิโลกรัม ลดเหลือ 90.19 กิโลกรัม) ไขมันในร่างกายลด 14.6% เส้นรอบเอวลดลง 8.6% (จากเดิมเส้นรอบเอวเฉลี่ยของผู้ทดลองก่อนทานเพชรสังฆาต 40 นิ้ว ลดเหลือ 36 นิ้ว) และยังมีผลลดระดับคอเลสเตอรอล ไขมันตัวร้าย LDL และระดับน้ำตาลในเลือด ได้ 26.69%, 20.16% และ 14.85% ตามลำดับ
นอกจากนี้จากการศึกษาในห้องทดลองยังพบว่า เพชรสังฆาตมีผลเพิ่มระดับเซโรโทนินในร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกอิ่มได้ง่าย และยังช่วยลดสารอักเสบที่พบในเลือดของผู้ที่มีภาวะโรคอ้วน (Metabolic syndrome) ซึ่งผลดีของเพชรสังฆาตในข้อนี้น่าจะมีประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหา Metabolic syndrome ต่อไปในอนาคต
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่อยากคุมน้ำหนัก ยังคงแนะนำว่าต้องคุมอาหารเป็นหลัก โดยอาจทานเพชรสังฆาตวันละ 1-2 แคปซูล หลังอาหารเช้า ต่อเนื่องสัก 10 สัปดาห์ ร่วมกับการคุมอาหาร และหมั่นออกกำลังกาย
ข้อควรระวังในการใช้เพชรสังฆาต
ในเถาของเพชรสังฆาตนั้นมีสารแคลเซียมออกซาเลทสูง (Calcium Oxalate) สูง จึงอาจทำให้เกิดการตกค้างได้หากรับประทานเข้าไปมากเกินพอดี อีกทั้งสารออกซาเลทนั้นยังอาจส่งผลให้เกิดการระคายเคืองที่คอและเยื่อบุภายในปาก ดังนั้นหากจะนำเถาของเพชรสังฆาตมารับประทานสด ๆ ควรนำหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ หุ้มด้วยกล้วยสุด หรือมะขามเปียก จะเป็นใบผักกาดดองก็ได้ แล้วค่อยรับประทาน และห้ามเคี้ยวโดยเด็ดขาด แต่ถ้าจะให้สะดวกยิ่งกว่านั้นก็สามารถรับประทานแบบที่เป็นแคปซูล วิธีนี้ก็ยังทำให้ได้คุณประโยชน์จากเพชรสังฆาตเช่นเดียวกับการรับประทานแบบสด ๆ
นอกจากนี้สำหรับการรับประทานเพชรสังฆาตเพื่อช่วยลดน้ำหนัก หากรับประทานเพชรสังฆาตก่อนมื้ออาหารแล้วเกิดอาการไม่สบายท้อง แนะนำให้ปรับมารับประทานหลังมื้ออาหารแทนได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
เฟซบุ๊กสมุนไพรอภัยภูเบศร
Kapook.com