ข่าวทั่วไป : เจ๊งหมื่นล้าน! “วิกฤติฝุ่นพิษ” นอกจากทำลายชีวิต เศรษฐกิจยังพินาศด้วย!
ต่อให้สวมหน้ากากฉีดน้ำจากตึกใบหยกงดใช้รถส่วนตัวเพิ่มการใช้งานขนส่งมวลชนหรืออะไรก็ดูจะเอาไม่อยู่ซะแล้วปัญหาฝุ่นพิษยังคงกวนตัวกวนใจพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศแบบไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นล่าสุดเมื่อวันที่ 29 มกราคม กรมควบคุมมลพิษสังกัดกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเเผยว่าสถานการณ์คุณภาพอากาศพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลโดยรวมอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่คุณภาพอากาศดีที่สุดอยู่ที่ระดับปานกลางแต่แย่ที่สุดคือมีกระทบต่อสุขภาพหรือเป็นพื้นที่ “สีแดง” **กระจายไปทั่วประเทศยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้กระทบแค่สุขภาพหรือคุณภาพชีวิตแต่เศรษฐกิจจะพลอยได้รับผลกระทบตามไปด้วย
จากปัญหาฝุ่นที่ไม่คลี่คลายลงเลยนั้น นอกจากปอดกับร่างกายแล้ว ดูท่าทางว่าปากท้องเราก็น่าเป็นห่วงไปด้วย ตามที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่าปัญหาฝุ่นจะกระทบกับรายได้และปากท้องของเราได้ 2 ทาง คือ
เราเสียโอกาสเพราะปัญหาสุขภาพ
หลังจากสถานการณ์ฝุ่นพิษย่ำแย่ลง คนไทยที่ได้รับผลกระทบก็เจ็บป่วยด้วยอาการที่หลากหลาย ไล่เรียงมาตั้งแต่อาการที่ไม่รุนแรงมากเช่น ไอ เจ็บ คอ หายใจไม่สะดวก ไปจนถึงเริ่มไอเป็นเลือด ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้หรือระบบทางเดินหายใจมีโอกาสจะกำเริบขึ้นได้ง่าย ทำให้เกิดก้อนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นมาจากการไปพบแพทย์หรือเข้ารับการรักษาพยาบาล ไม่นับการซื้อหน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่นซึ่งนับวันยิ่งจะขาดตลาดและราคาสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเงินส่วนนี้ถือเป็นค่าเสียโอกาสเพราะว่าผู้ถือเงินต้องนำเงินมาลงในส่วนนี้เพราะความจำเป็นที่จะต้องป้องกันสุขภาพของตัวเอง ทำให้รายได้ที่จะกระจายไปกับการจับจ่ายน้อยลง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยอาจไม่ได้นับรวมถึงค่าเสียโอกาสจากการที่พนักงานในแต่ละองค์กรจะต้องลาป่วย หรือทำงานในเวลาทำการเท่าเดิมแต่ประสิทธิภาพในการทำงานลดลงเพราะฝุ่นก่อกวนสุขภาพด้วย ซึ่งก็น่าจะเป็นความเสียหายที่ประเมินค่าไม่ได้
เราเสียโอกาสได้รายได้จากนักท่องเที่ยว
คงต้องยอมรับกันตามตรงว่าสถานการณ์ฝุ่นพิษนี้กระทบกับการท่องเที่ยวเพราะทำให้นักท่องเที่ยวเปลี่ยนจุดหมายปลายทาง อาจจะเปลี่ยนจากกรุงเทพฯ เป็นจังหวัดอื่นแทน หรือเปลี่ยนแผนไปเที่ยวประเทศอื่นเลย ซึ่งส่งผลกระทบให้เราขาดรายได้ทั้งสิ้นเพราะกรุงเทพฯ นับเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ ปกติแล้วจำนวนนักท่องเที่ยวจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5 ล้านคนต่อเดือน ตีเป็นเงินกลม ๆ 80,000 ล้านบาทต่อเดือน
ทั้งนี้ ยังมีรายงานของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเมื่อวันที่ 28 มกราคม ที่ผ่านมายืนยันว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้าท่องเที่ยวในบ้านเราอาจน้อยกว่าที่เคยได้คาดการณ์กันไว้ถึง 41 ล้านคนและลดลงกว่าปีที่แล้วถึง 38 ล้านคน
หากปัญหาไม่คลี่คลายไปได้บ้างในระยะยาว นอกจากนักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนจุดมุ่งหมาย อาจลุกลามเป็นกระแสที่ต่างชาติบอกต่อกันเองไปได้ว่าไม่สามารถเดินทางมาประเทศไทยได้อีกแล้วเพราะสถานการณ์ฝุ่นที่อันตราย คราวนี้การท่องเที่ยวอาจได้รับผลกระทบไปยาว ๆ และสูญเสียรายได้อย่างต่อเนื่อง
เสียหายราวหมื่นล้าน
นอกจากการท่องเที่ยวแล้วผลกระทบต่อเศรษฐกิจและชีวิตประจำวันก็เป็นอีกสิ่งที่เรา ๆ ควรจับตามองและหาทางแก้ไขให้ทัน “ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย” ระบุว่า เราจะสูญเสียเงินไม่ต่ำกว่า 50-1,000 ล้านบาท เพราะต้องซื้อหน้ากากอนามัยและหน้ากากก็อาจขาดแคลนจนต้องเพิ่มยอดนำเข้า ซึ่งน่าจะรวมเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 200-300 ล้านบาท รายได้ของผู้ประกอบการอาหารและห้างร้านต่าง ๆ ก็จะได้รับผลกระทบเพราะผู้คนมีความกังวล ใช้จ่ายน้อยลง ออกจากบ้านน้อยลง ทั้งนี้รายได้ที่สูญไปจะอยู่ที่ราว ๆ 1,000-2,000 ล้านบาท ไม่นับรวมรายได้จากนักท่องเที่ยวที่ลดลงเรื่อย ๆ ตีเป็นมูลค่าแล้วก็อยู่ที่ 1,000-2,000 ล้านบาท
ทั้งหมดทั้งมวลรวมเป็นความเสียหายหลักหมื่นล้าน
ชั่วโมงนี้ เรียกได้ว่าภาควิชาการและสื่อก็เรียกร้อง ให้รัฐบาลเร่งหาทางออกที่มันได้ผล หรืออย่างน้อยในระยะสั้นก็ควรต้องให้ความรู้กับประชาชนถึงวิธีการป้องกันตัว การตรวจคุณภาพรถยนต์ไม่ให้เกิดฝุ่น ส่วนนโยบายระดับภาพรวมต้องเช็กปริมาณฝุ่นละอองในโรงงานอุตสาหกรรมอย่างแข็งขัน เร่งลดมลพิษโดยส่งเสริมให้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงแทนน้ำมันดีเซล หรือการจำกัดอายุการใช้งานของรถยนต์ เป็นต้น คือต้องงัดทุกทางที่ทำได้แล้ว
แต่ทางออกเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าผู้มีอำนาจไม่ยอมรับว่าเรื่องนี้วิกฤติจนไม่อาจดูดายได้แล้วจริง ๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก
workpointnews.com
www.thairath.co.th
www.kapook.com
ภาพประกอบ shopee.co.th ,Line Today