ข่าวแม่สอด : เจ้าหน้าที่บุกจับพม่าพัวพันแก๊งก่อการร้ายแยกราชประสงค์ คาตึกกลางแม่สอด
ตาก – ตำรวจ ตม.พร้อมเจ้าหน้าที่ ศรภ.-ทหารติดอาวุธครบมือ บุกค้นอาคารพาณิชย์กลางเมืองแม่สอด รวบ 3 ชาย-หญิงชาวพม่า ก่อนหิ้ว 1 ใน 3 เข้ากรุงสอบสวนเพิ่ม หลังพบต้องสงสัยพัวพันขบวนการก่อการร้าย-ทำหนังสือเดินทางปลอมก่อเหตุแยกราชประสงค์
วันนี้ (6 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการสืบสวน 2 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) สนธิกำลังกับเจ้าหน้าที่ทหารจากศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ได้เข้าปิดล้อมอาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ กลางเมืองแม่สอด จ.ตาก หลังสืบทราบว่าที่อาคารแห่งนี้อาจเป็นที่ใช้ในการกระทำผิดกฎหมายเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ และอาจจะเชื่อมโยงเครือข่ายการก่อเหตุร้ายที่แยกราชประสงค์ กรุงเทพมหานคร
โดยเจ้าหน้าที่ได้ปิดล้อมพื้นที่และเข้าตรวจสอบกลุ่มบุคคลภายในอาคารอย่างละเอียดนานกว่า 1 ชั่วโมง พร้อมจัดกำลังทหารติดอาวุธ เฝ้ารักษาความปลอดภัยภายนอกตัวอาคาร ห้ามผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรวมถึงสื่อมวลชนเข้าไปในพื้นที่โดยเด็ดขาด
หลังจากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว 3 ผู้ต้องหาชาวพม่าเป็นชาย 1 ราย และหญิง 2 รายที่พักอยู่ภายในอาคารหลังดังกล่าวขึ้นรถยนต์ตู้ไปที่กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 346 อ.แม่สอด โดยมีขบวนรถคุ้มกันตลอดเส้นทาง ก่อนทำการสอบสวนยาวนานกว่า 3 ชั่วโมง โดยไม่เป็นที่เปิดเผย
เบื้องต้นมีรายงานว่า เจ้าหน้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดีต่อหญิงทราบชื่อคือ นางแรมซัมบี้ (Ramzanbe) อายุ 32 ปี และนางราเฮบี้ (Rahelarbe) อายุ 23 ปี สัญชาติพม่า ในข้อหาเป็นบุคคลต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนผู้ต้องหาเป็นชายอีกรายทราบชื่อคือ นายควาก ทิ ฮา (Kyaw thi ha) อายุ 43 ปี ถูกดำเนินคดีข้อหาให้ที่ซ่อนเร้นหรือช่วยประการใดๆ ให้บุคคลต่างด้าวพ้นจากการจับกุม โดยผู้ต้องหาทั้ง 3 รายรับสารภาพในชั้นสอบสวน
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่จากศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติได้อาศัยอำนาจด้านการรักษาความสงบเรียบร้อยขออายัดตัวนายควาก ทิ ฮา นำตัวไปสอบสวนเพิ่มเติมที่กรุงเทพฯ เนื่องจากมีข้อมูลเกี่ยวกับตัวผู้ต้องหารายนี้ว่าอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องในคดีสำคัญเกี่ยวข้องกับเครือข่ายก่อการร้าย และกลุ่มขบวนการที่มีส่วนร่วมในการจัดหาหนังสือเดินทางปลอมให้แก่ผู้กระทำผิดกรณีเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ กรุงเทพฯ
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9590000100671