ข่าวทั่วไป : สรุปเหตุการณ์โลกปีนี้ มองแนวโน้มปีหน้า
ปี 2561 กำลังจะสิ้นสุดลง ซึ่งช่วงเวลา 300 กว่าวันที่ผ่านมา มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายทั่วโลก ที่สำคัญๆ คือกระแสประชานิยมและชาตินิยมที่มีมากขึ้น
ที่น่าสังเกตคือ ทั้งประชานิยมและชาตินิยม เกิดขึ้นทั้งในซีกโลกตะวันตกและนอกซีกโลกตะวันตก โดยประชานิยมทำให้กลุ่มชนหรือประชาชนเป็นแรงขับแง่ดีที่ต่อสู้กับกลุ่มคนที่กุมอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สื่อ และชูผลประโยชน์ของกลุ่ม อยู่เหนือผลประโยชน์ของประชาชน
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่สำคัญในปีนี้และหลายคนยังจำได้ดี คือภาพประวัติศาสตร์ ที่ผู้นำเกาหลีเหนือข้ามเขตปลอดทหาร เข้าไปในเกาหลีใต้เป็นครั้งแรกเมื่อเดือนเม.ย. หลังจากปรับเปลี่ยนท่าที ยอมเจรจาหารือกับเกาหลีใต้ ทั้งยังจับมือกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ในการประชุมสุดยอดที่สิงคโปร์ อันทำให้อุณหภูมิในคาบสมุทรเกาหลี อบอุ่นขึ้นมาทันที
แต่บรรยากาศระหว่างประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 ของโลกอย่างสหรัฐ กับจีน ซึ่งมีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ร้อนแรงผิดปกติ จนหวั่นว่ากำลังมีการทำสงครามเย็นกันอยู่หรือเปล่า หลังจากทรัมป์ใช้นโยบายสกัดกั้น เพราะเชื่อว่าจีนไม่ได้พยายามผงาดขึ้นมาอย่างสันติ แต่จะค่อยๆ ใช้นโยบายโอบล้อมประเทศอื่นไปเรื่อยๆ โดยตีความว่านโยบาย”ทางสายไหมศตวรรษที่ 21”ของจีน ก็เป็นหนึ่งในแนวทางดังกล่าว ดังนั้นจึงถึงเวลาที่สหรัฐต้องลงมือทำบางสิ่ง
หากพูดถึงเทคโนโลยี แน่นอนว่าทั่วโลกกำลังอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งนำไปสู่การพลิกโฉมหลายสิ่งอย่างในชีวิตประจำวัน ผลจากกระแสโลกาภิวัตน์และเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ต เซนเซอร์ขนาดเล็กลงและทรงพลังมากขึ้น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ machine learning
มองไปดูที่สภาพอากาศ หลายคนคงรับรู้ได้ว่าภาวะโลกร้อนและมลพิษในโลก มีแต่เลวร้ายลง ผลจากกิจกรรมทางอุตสาหกรรมและกิจกรรมของมนุษย์นี่แหละ ซึ่งสิ่งดังกล่าวอาจสวนทางกับความเชื่อของผู้นำสหรัฐคนปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ในปีนี้การเคลื่อนไหวของกลุ่มเฟมินิสต์ทั่วโลก ดูมีความเข้มแข็งมากขึ้น ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลมาจากกระแส #MeToo ในซีกโลกตะวันตกที่แพร่หลายและกระจายไปยังส่วนอื่นของโลกก็เป็นได้
สำหรับปี 2562 นั้น มีจุดเสี่ยงหลายจุดทีเดียวที่อาจกระทบไปถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ อันดับแรกคือสงครามการค้า โดยเฉพาะหากพรรคเดโมแครตซึ่งจะเข้าไปคุมเสียงข้างมากในสภาล่าง และพรรครีพับลิกันของทรัมป์ เกิดเห็นตรงกันว่าการผงาดขึ้นมาของจีน เป็นภัยคุกคามสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของห่วงโซ่อุปทาน หรือการขยายตัวของกองทหาร อุณหภูมิระหว่างสองประเทศอาจทวีความร้อนแรงยิ่งขึ้น จนกลายเป็นสงครามเย็นทางเศรษฐกิจไปก็ได้
ขณะที่ในซีกโลกตะวันตกเอง เบร็กซิทยังเป็นเรื่องชวนปวดหัว เพราะการเมืองอังกฤษก็ไม่นิ่ง จนเสียงแตกกันไปมาว่าจะถอนตัวออกจากอียูด้วยเงื่อนไขอย่างไรดี สถานการณ์ดูเหมือนพลิกผันไปได้เรื่อย จนก่อให้เกิดความเสี่ยงว่าอาจนำไปสู่การเปลี่ยนตัวนายกฯ หรือแม้กระทั่งรัฐบาล
ในกรณีที่ตกลงกันไม่ได้ เศรษฐกิจของอังกฤษก็จะได้รับผลกระทบอย่างไม่ต้องสงสัย
กลับมาที่ฝั่งของสหรัฐอีกครั้ง การที่พรรคเดโมแครตเข้ากุมเสียงข้างมากในสภาล่าง อาจทำให้วาระการทำงานที่ทรัมป์วางไว้ มีอันสะดุดไม่ราบรื่น แถมยังอาจนำไปสู่การเปิดสอบการทำงานของคณะบริหาร การหาเสียง และอาณาจักรธุรกิจของทรัมป์
สภาพการณ์ดังกล่าวหมายความว่าวาระของทรัมป์ที่เหลืออยู่อีก 2 ปี จะเต็มไปด้วยอุปสรรคในการผลักดันนโยบาย ดังนั้นก็ลืมเรื่องการลดภาษีเพิ่มเติมไปได้เลย รวมถึงการทุ่มงบให้แก่โครงสร้างพื้นฐาน อันเป็นสิ่งที่ทรัมป์ประโคมไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียง แต่สิ่งที่ต้องเตรียมตัวไว้ให้พร้อม คือดรามาทางการเมืองและแนวโน้มที่หน่วยงานภาครัฐ จะต้องปิดทำการเป็นระยะๆ
สภาล่างอาจถึงขั้นพยายามปลดทรัมป์ก็เป็นได้ ซึ่งหากเหตุการณ์มาไกลถึงขั้นนี้ ชะตากรรมของทรัมป์จะฝากไว้กับสภาสูง ซึ่งพรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก
ในปี 2562 จะเป็นอีกหนึ่งปีที่หลายประเทศตลาดเกิดใหม่ จะจัดการเลือกตั้ง ซึ่งอาจมีผลพวงไปถึงท่าทีด้านนโยบายและเสถียรภาพของตลาด ไม่ว่าจะเป็นอาร์เจนตินา อินเดีย หรืออินโดนีเซีย
ดูแล้ว ปี 2562 เป็นอีกปีที่สิ่งท้าทายรออยู่ข้างหน้ามากทีเดียว
ขอขอบคุณข้อมูล-ภาพ money2know