ข่าวแม่สอด : มาอีก 2 คลิป ชายคล้าย ตร.รีดเงินต่างด้าวคาด่านฯ สายแม่สอด-พบพระ
การตำรวจตาก สั่งตั้งกรรมการสอบสวนกรณีคลิปฉาวตำรวจรับสินบนแรงงานต่างด้าวขณะเรียกตรวจเอกสารในรถโดยสารคาด่านฯ ขณะที่มือโพสต์คลิปฉาว แฉซ้ำอีก 2 คลิปรวด เห็นคนยื่นของให้ ตร.ชัด ด้านจุดตรวจที่เป็นข่าวถูกปิดแล้วไร้เจ้าหน้าที่มายืนรอตรวจ
วันนี้ (13 ส.ค.) พล.ต.ต.ปริญญา วิสิทธิ์ชฎากุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดตาก ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.อโณทัย จินดามณี ผกก.สภ.พบพระ จ.ตาก ประชุมนายตำรวจพร้อมพนักงานสอบสวน ร่วมกับพนักงานฝ่ายปกครองอำเภอพบพระ และเจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งได้ร่วมกันตั้งเป็นกรรมการชุดสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง
หลังผู้ใช้เฟซบุ๊กได้แอบบันทึกคลิปภาพ ตำรวจภูธรจังหวัดตากหน่วยหนึ่ง ตั้งด่านเรียกเก็บผลประโยชน์จากแรงงานต่างด้าว ทั้งที่มีไม่มีเอกสารประจำตัว และมีการเรียกรับสินบนลักษณะการจ่ายค่าผ่านทาง จนปรากฏเป็นข่าวฉาวไปทั่ว
ที่ประชุมหารือกันด้วยความเคร่งเครียด และไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ตลอดรวมถึงสื่อมวลชนเข้าร่วมรับฟังอย่างเด็ดขาด จนเวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมง การประชุมจึงแล้วเสร็จ จากนั้น พ.ต.อ.อโณทัย จินดามณี ผกก.สภ.พบพระ จ.ตาก ได้ให้สัมภาษณ์เพียงสั้นๆ
โดยระบุว่า ตามคลิปข่าวที่ปรากฏนั้น เบื้องต้นพบเป็นจุดตรวจของตำรวจกองกำกับการสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดตาก ที่ตั้งอยู่บนถนนสายแม่สอด-พบพระ ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการทั้ง 3 ฝ่าย อยู่ระหว่างการสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน พร้อมประสานผู้ที่ลงคลิปภาพในเฟซบุ๊กเข้ามาให้ข้อเท็จจริง และขอยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่เกิน 15 วัน จึงจะสามารถสรุปข้อเท็จจริงได้
อย่างไรก็ตาม ช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ เจ้าของคลิปภาพข่าวฉาวนี้ยังได้โพสต์คลิปวิดีโอใหม่อีก 2 คลิป แต่ไม่มีการระบุช่วงวัน และเวลาที่บันทึกคลิปภาพนี้
แต่คลิปภาพล่าสุดนี้ก็สามารถบันทึกภาพชายแต่งตัวคล้ายตำรวจเต็มยศ ยืนหน้าจุดตรวจ และทำการขอตรวจเอกสารผู้โดยสารบนรถประจำทาง และยังพบว่า มีผู้โดยสารหลายคนได้ยื่นสิ่งของบางอย่างให้แก่ชายแต่งตัวคล้ายตำรวจ ก่อนชายคนนี้จะอนุญาตให้รถผ่านจุดตรวจไปได้
ซึ่งหลังจากมีคลิปฉาวปรากฏทางสื่อสารมวลชน และสังคมออนไลน์ ปรากฏว่า จุดตรวจแห่งนี้ถูกปิดบริการประชาชนโดยไม่ทราบสาเหตุ และก็ไม่มีชายแต่งตัวคล้ายตำรวจออกมายืนตรวจตรารถยนต์โดยสารตามปกติอีกเลย
ขอขอบคุณข้อมูล-ภาพ จาก http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9600000082680