ข่าวแม่สอด : จับปิคอัพต้องสงสัย ขนต่างด้าวทั้งชาย-หญิงอัดหลังรถแน่น
ตาก – เจ้าหน้าที่สกัดจับปิกอัพต้องสงสัย ขนต่างด้าวทั้งชาย-หญิงอัดหลังรถเป็นปลากระป๋อง มีน้ำ-กล้วยเป็นเสบียง ถือบอร์เดอร์พาสออกจากชายแดนแม่สอดเข้าพื้นที่ชั้นในทันที หลังสิ้นกำหนดรายงานตัว เบื้องต้นจับทำประวัติ-ส่งกลับ พร้อมขึ้นบัญชีห้ามเข้าประเทศหมด
หลังสิ้นสุดการให้แรงงานต่างด้าวเข้ารายงานตัวก็เริ่มมีการขนเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวกันแล้ว ล่าสุดทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารราบที่ 14, ตำรวจ สภ.แม่สอด, ตชด.346 แม่สอด, ตม., ศุลกากร, อส.แม่สอดที่ 3 และเจ้าหน้าที่สายตรวจป่าไม้ ประจำจุดตรวจความมั่นคงห้วยหินฝน อ.แม่สอด จ.ตาก ร่วมกันตรวจค้นรถยนต์กระบะ ยี่ห้อนิสสัน สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน ถต 5484 กรุงเทพมหานคร ที่ขับผ่านมา เมื่อหัวค่ำวานนี้ (8 ส.ค.)
พบสองสามี-ภรรยาชาวราชบุรี ที่นั่งโดยสารมาด้วย และเมื่อเจ้าหน้าที่จะขอเข้าตรวจค้นภายในตัวกระบะที่ติดหลังคาทรงสูง ทั้งสองกลับแสดงท่าทีมีพิรุธตัวสั่นเหงื่อแตก
เมื่อเจ้าหน้าที่ปลดล็อกประตูด้านหลังรถก็พบแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า เป็นหญิง 5 ราย ชาย 20 ราย รวมทั้งหมด 25 ราย ที่ทั้งยืน นอน และนั่งอัดรวมกันเป็นปลากระป๋องในสภาพอิดโรยจากการเดินทาง เจ้าหน้าที่จึงรีบช่วยเหลือแรงงานทั้งหมดนำตัวลงจากท้ายรถ ก่อนจะส่งชุดสุนัขทหารเข้าตรวจค้นดมหายาเสพติด และสิ่งของผิดกฎหมายภายในกระเป๋าสัมภาระของแรงงานที่นำติดตัวมาด้วย แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายเพิ่มเติม เบื้องต้นพบเพียงน้ำดื่ม กล้วยน้ำว้าสุก ที่ใช้เป็นเสบียงระหว่างเดินทางจากชายแดนเข้าหัวเมืองชั้นใน
จากการสอบสวนคนขับรถยนต์คันเกิดเหตุให้การต่อเจ้าหน้าที่เบื้องต้นว่า ได้รับว่าจ้างจากคนไม่ทราบชื่อให้นำรถยนต์ที่ทำการดัดแปลง ติดหลังคาทรงสูงท้ายกระบะ เจาะรู-ติดตั้งพัดลมระบายอากาศสองชั้น ไปรอรับแรงงานต่างด้าวที่ถูกจับกุมที่แนวชายแดนไทย-พม่า เพื่อจะนำแรงงานทั้งหมดไปส่งที่จังหวัดชลบุรี โดยได้รับค่าจ้างหัวละหนึ่งพันบาทไปใช้จ่ายในครอบครัว เนื่องจากรายได้ส่วนตัวตามปกติไม่พอใช้
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัวสองสามีภรรยาคู่นี้ทำประวัติแล้วปล่อยตัวไป และส่งแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ที่แม้มีบอร์เดอร์พาสถูกต้อง แต่แจ้งจุดหมายปลายทางมีพิรุธ นำตัวไปสอบสวนที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดตาก พร้อมขึ้นบัญชีห้ามเข้าประเทศ ก่อนผลักดันกลับประเทศตามกระบวนการกฎหมายต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9600000081009